จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ประวัติรถ Evolution

ประวัติของ Evolution
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของมิตซูบิชิ มอเตอร์สเกิดจากการเข้าร่วมกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ตและการแข่งขันแรลลี่โลก World Rally Championship (WRC) ซึ่งมักจะประสบกับชัยชนะเกือบทุกครั้ง จากความสำเร็จดังกล่าว จึงถูกนำพัฒนาและถ่ายทอดในรถยนต์ของนักขับรถ
ย้อนหลังไปต้นทศวรรษที่ 1970 ตัวแข่งแรลลี่โลกของมิตซูบิชิถูกพัฒนามาจาก โคลต์ กาแลนท์ 16L จากนั้นเข้าสู่ยุคของแลนเซอร์รุ่นแรก 1600 GSR ตามด้วยแลนเซอร์รุ่นกล่องไม้ขีด ที่ได้รับความนิยมจากนักแข่งและทีมแข่งต่างๆ ตลอดปี 1981 – 1982 รวมทั้งสปอร์ตคูเป้รุ่นสตาร์เรียน กระทั่งเข้าสู่ยุคของกาแลนท์ VR-4 ซึ่งถือเป็นยุคทองของมิตซูบิชิ จนเมืองไทยนิยมนำเข้ามาเพื่อแข่งขันแต่เมื่อมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ตันสินใจขยายตลาดโดยเน้นรถซีดานขนาดกลางอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัวกาแลนท์ อัลติมาซึ่งมีขนาดตัวถังใหญ่เกินไปจึงไม่เหมาะกับการแข่งขัน ดังนั้นทีมมอเตอร์สปอร์ตจึงพัฒนาตัวแข่ง ใหม่ในนาม อีโวลูชั่น ในขณะเดียวกันสมาพันธ์ FIA กำหนดรถยนต์ที่เข้าแข่งขันกรุ๊ป ต้องผลิตออกขายอย่างน้อย 2,500 คัน/ปี มิตซูบิชิจึงต้องผลิตอีโวชั่นทำตลาดจริงให้ถึงจำนวนที่กำหนดดังกล่าว นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะแลนเซอร์ อีโวลูชั่นสามารถกวาดชัยชนะจากสนามแข่ง WRC นับไม่ถ้วน ทั้งยังคว้าแชมป์แรลลี่โลกสะสมเก็บคะแนนในปี 1998 มาครองได้สำเร็จ






เครื่องยนต์ 4G-63

เครื่องยนต์ 4G-63

เริ่มต้นมาดูกันที่ตัวเครื่องยนต์ธรรมดา แบบไม่มีเทอร์โบกันก่อน (NA)ฝาขาว
เครื่องยนต์ 4G63
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 10 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 140 / 6,000
แรงบิด (kg-m / rpm) 18 / 4,750
อัตราทดเฟืองท้าย 4.376

เครื่องยนต์ที่อยู่ใน “ VR4 “ รุ่นแรกๆ ตัวนี้จะเป็นรุ่นที่มีเทอร์โบ (ฝาแดง CYCLONE)
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (ซีซี) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 205 / 6,000 (TURBO TD 04)
แรงบิด (kg-m / rpm) 25.4 / 2,500
อัตราทดเฟืองท้าย 4.376

ถัดมาเป็นเครื่องยนต์ (ปีใหม่ขึ้นมา) ที่ถูกปรับปรุงแล้ว จะอยู่ในตัว “ Eclipse “
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 220 / 6,000 (TURBO TD 05 H)
แรงบิด (kg-m / rpm) 30.5 / 2,500
อัตราทดเฟืองท้าย 4.376

ส่วนนี้จะเป็นเครื่องยนต์ที่อยู่ในตัว Evolution ทั้ง รุ่น 
Evolution I (ปีที่ผลิตออกมา จะอยู่ที่ปี 1992)
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 250 / 6,000 (TURBO TD 05 H-16 G-7)
แรงบิด (kg-m / rpm) 31.5 / 3,000
อัตราทดเฟืองท้าย 4.376

Evolution II (ปีที่ผลิตออกมา จะอยู่ที่ปี 1994)
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 260 / 6,000 (TURBO TD 05 H-16 G-7)
แรงบิด (kg-m / rpm) 31.5 / 3,000
อัตราทดเฟืองท้าย 4.376

Evolution III (ปีที่ผลิตออกมา จะอยู่ที่ปี 1995)
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.5 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 270 / 6,250 (TURBO TD 05 H-16 G 6-7)
แรงบิด (kg-m / rpm) 31.5 / 3,000
อัตราทดเฟืองท้าย 4.376

Evolution IV (ปีที่ผลิตออกมา จะอยู่ที่ปี 1996) 
ข้อแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์ VR4, EVO I-III กับ เครื่องยนต์ EVO IV-ปัจจุบัน ก็คือเครื่องยนต์นั้นจะหันคนละด้านกัน คือ เครื่องยนต์VR4, EVO I-III จะหันด้านขวา (ยืนมองจากด้านหน้ารถเข้าไป) ส่วนเครื่องยนต์ EVO IV-ปัจจุบัน จะหันด้านซ้าย (ยืนมองจากด้านหน้ารถเข้าไปเช่นกัน)
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.8 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 280 / 6,500 (TURBO TD 05 HR-16 G 6-9 T)
แรงบิด (kg-m / rpm) 36 / 3,000
อัตราทดเฟืองท้าย 4.529 (GSR)

Evolution V (ปีที่ผลิตออกมา จะอยู่ที่ปี 1998) 
เครื่องยนต์ 4G63T
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.8 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 280 / 6,500 (TURBO TD 05 HR-16 G 6-10.5)
แรงบิด (kg-m / rpm) 38 / 3,000
อัตราทดเฟืองท้าย 4.529 (GSR)

Evolution VI (ปีที่ผลิตออกมา จะอยู่ที่ปี 1999)
เครื่องยนต์ 4G63
แบบ สูบ DOHC 16V
ความกว้าง ช่วงชัก (mm.) 85.0 X 88.0
ขนาด (CC.) 1,997
อัตราส่วนกำลังอัด 8.8 : 1
แรงม้า (PS / rpm) 280 / 6,500 (TURBO TD 05 HR-16 G 6-10.5 T)
แรงบิด (kg-m / rpm) 38 / 3,000
อัตราทดเฟืองท้าย 4.529 (GSR)




Evolution I



กันยายน 1992
จำกัดจำนวนผลิต 2,500 คัน
ถูกพัฒนาบนพื้นฐานแลนเซอร์รุ่น อี-คาร์ มีให้เลือกทั้งรุ่น RS สำหรับลูกค้าที่ต้องการรถสภาพเดิมไปโมดิฟายเพื่อลงแข่งในสนามและรุ่นGSR สำหรับลูกค้าทั่วไป ด้วยความยาวตัวถัง 4,310 มิลลิเมตร กว้าง1,695 มิลลิเมตร สูง 1,395 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,500 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 1,240 กิโลกรัม ขุมพลัง 4G63 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมเทอร์โบและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 250 แรงม้า (PS) ที่6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 31.5 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา จังหวะ ลงสู่ระบบขับเคลื่อน ล้อ คู่หน้าแบบมีรูระบายความร้อนรูปลักษณ์ ภายนอก ค่อนข้างเหมือนกะอีคาร์
กันชนหน้ามีช่องลมระบายอากาศขนาดใหญ่ พร้อมฝากระโปรงอลูมิเนียม
แก้มซ้ายขวาโป่งกว่ารุ่นอีคาร์ มีไฟข้างแก้มแบบแบน
รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ 4G63 ที่พัฒนามาจาก VR-4
โดยมีแรงม้า 250 Ps มากกว่ารุ่น VR-4(ECI) อยู่ 10 แรงม้า
อินเตอร์คูลเลอร์ใหญ่กว่า VR-4 มีแต่เกียร์ สปีด ขับเคลื่อน ล้อ
ดิสค์เบรค ล้อ พร้อม ABS ดุมล้อ รู 114
รุ่นนี้ใส่แม็กขอบ 15 ให้มาจากโรงงาน
ตั้งแต่รุ่นนี้ไป ไฟตัดหมอกหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ภายใน สีดำล้วน
แอร์ดิจิตอล พวงมาลัยโมโม่ เบาะเรคคาโร่หัวหมอนหนังกลับ
กระจกสีชาไฟฟ้า บาน กระจกมองข้างปรับไฟฟ้าแบบพับได้
มีไล่ฝ้ากระจกหลังพร้อมใบปัด
ซันรูฟเป็นออฟชั่นสั่งพิเศษครับ ในรุ่นนี้ผลิตออกมาเพียง สีเท่านั้น
ของเล่นที่หายากในบ้านเรา เป็นออฟชั่นที่ต้องจ่ายเพิ่ม ก็มีดังนี้เลยครับ
สปอร์ตไลท์หน้า (มาพร้อมสวิสต์ในรถ ปุ่มกดอยู่บริเวญเหนือช่องแอร์ด้านขวา)
มัดการ์ด (คนไทยไม่ค่อยนิยมใส่)
เบาะเรคคาโร่หัวตาข่าย (ใครจะเปลี่ยนวะ)
เกจ์วัดสามสหาย 
กันกระแทกเข่า(เวลาเข้าโค้งแรงๆ จะได้ใช้)
ค้ำโช๊คหน้า RalliArt
ในประตูทั้ง บาน จะมีคานกันกระแทกขนาดใหญ่
สปอยเลอร์หลังแบบชั้นเดียว(รุ่นนี้ดีนะ ต้านลมน้อยที่สุดเลย)

ส่วนในรุ่น RS จะตัดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นสำหรับการแข่งขันออกทั้งหมดเลย
และเพิ่มลิมิเต็ดสลิปหน้า-หลังให้อีกด้วย


Evolution II

22 ธันวาคม 1993
จำกัดจำนวนผลิต 5,000 คัน
ดูเหมือนไม่มีการปรับโฉมใหม่ใด ๆ แต่ความจริงแล้วมีหลายจุดที่ อีโวลูชั่น II แตกต่างจาก อีโวลูชั่น เช่นเครื่องยนต์ที่มีการเพิ่มแรงดันบูสเตอร์เทอร์โบ ระยะวาล์ว เป็นต้น รีดแรงม้าเป็น 260 แรงม้า (PS) ที่6,000 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 31.5 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ / นาที ปรับปรุงระบบกันสะเทือนเพียงเล็กน้อย

รุ่นนี้ หน้าตาเหมือนกะรุ่น อีโวลูชั่น วัน มีจุดแตกต่างกันนิดหน่อย
กันชนหน้ามีลิ้นหน้าเพิ่มขึ้น
สปอยเลอร์หลังแบบ ชั้น
ล้อแม็กซ์ ขอบ 15 เท่าเดิม แต่เป็นล้อ O.Z.
รุ่นนี้ได้รับการพัฒนาด้านเครื่องยนต์อีกเล็กน้อยจน มีแรงม้าเพิ่มอีก 10ตัว เป็น 260 แรงม้า
นอกนั้นยังคงสเป็กเดิมภายใน ยังคงเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเบาะหน้าเป็นรุ่น SR-III ลายตุ๊กแก
แผงข้างประตูเป็นหนังกลับ สีที่ผลิตในรุ่นนี้ มี สีครับ


Evolution III

รุ่นยอดนิยม ขวัญใจมหาชน ผลิตเมื่อ 27 มกราคม 1995
จำกัดจำนวนผลิต 5,000 คัน
การปรับปรุงเน้นไปที่การเปลี่ยนมาใช้ชุดแอโรพาร์ท รวมทั้งสปอยเลอร์รอบคันใหม่ทั้งหมดให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดและลดค่าสัมประสิทธิ์ต้านทานอากาศ (แอโรไดนามิก) ลง ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มเป็น 1,260 กิโลกรัม ยังใช้ตัวถัวรวมทั้งช่วงล่างและระบบกำลังส่งเดิม แรงม้าอยู่ที่ 270 แรงม้า (PS) ที่ 6,250 รอบ / นาที โดยคงแรงบิดสูงสุดเท่าอีโวลูชั่น II ระบบกันสะเทือนถูกปรับปรุงให้ตอบสนองได้เฉียบคมยิ่งขึ้น จนทำให้อีโวลูชั่น III แรงสุดและหนักสุด แต่มีสมรรถนะดีที่สุดในกลุ่มอีโวลูชั่นที่ใช้พื้นฐานแลนเซอร์รุ่นอี – คาร์

รุ่นยอดนิยม ขวัญใจมหาชน รุ่นนี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากอีโวลูชั่น ทู
ภายนอกเปลี่ยนกันชนหน้าใหม่ มีช่องรับลมใหญ่ขึ้น สเกิร์ตข้างใหญ่ขึ้น มีติ่งหลังปลายกันชน และหางหลังรูปทรงใหม่ และไฟมุมสีส้ม
รุ่นนี้ที่พิเศษกว่า อีโว วัน- ทู คือ กระจกเป็นสีฟ้าครับ เป็นแบบ UV cutด้วย
พื้นฐานยังคงเหมือนรุ่นก่อนๆ 
แต่มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น อีก 10 แรงม้า เป็น270 แรงม้า
ภายในเหมือน อีโวลูชั่นทู
เบาะ Recaro SR-III เปลี่ยนลายใหม่
พวงมาลัย MOMOใหม่ (รุ่นนี้หายาก)
สีเหลืองเป็นสีที่มีเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้น 
สำหรับรุ่น RS ก็เหมือนเดิม ลดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นออกหมด
แล้วเพิ่มไอ้ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันขึ้นมาแทน



EVOLUTION IV
30 กรกฎาคม 1996
จำกัดจำนวนผลิต 6,000 คัน
มีการเปลี่ยนแปลงตัวถังเป็นครั้งแรก มาใช้พื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ เอ็มจี 
ตัวถัวยาว 4,330 มิลลิเมตร กว้าง 1,415 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว2,510 มิลลิเมตร และน้ำหนักตัว 1,350 กิโลกรัม 
เป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งพวงมาลัย ก้านทรงสปอร์ตพร้อมถุงลมนิรภัย
ขุมพลังยังยืนหยัดกับรหัส 4G63 แต่อัพเกรดสมรรถนะ 280 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ / นาที
แรงบิดสูงสุด 36.0 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ / นาที 
เป็นอีโวลูชั่นรุ่นแรกที่ย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์มาติดตั้งเยื้องอยู่ฝั่งเดียวกับคนขับ
เชื่อมการทำงานกับเกียร์ธรรมดา จังหวะแบบ Shift – Short Stroke 
และถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกในโลกที่ติดตั้งระบบควบคุมแรงบิดล้อหลังAYC (Active Yaw Control) 
ใกล้เฟืองท้ายเพื่อให้เข้าโค้งได้ฉับไวและทรงตัวดีเมื่อเบรกกะทันหัน

พื้นฐานเดียวกับรุ่น CK บ้านเราครับ
รุ่นนี้ถือเป็นรุ่นแรกของเครื่องยนต์ 4G63 ใหม่(กลับหัว) ที่พัฒนามาจนถึงรุ่นปัจจุบัน

อุปกรณ์ติดรถมากมาย
สปอยเลอร์หน้าพร้อมไฟสปอตไลท์PIAAในตัว
ฝากระโปรงหน้าอลูมิเนียม
แก้มหน้าโลหะ(ทรงไม่เหมือน CK นะ)
ไฟข้างแก้มแบบแบน
ไฟมุมส้ม
สเกิร์ตข้างขนาดใหญ่
สเกิร์ตหลัง
สอปยเลอร์หลัง แบบ ชั้น
กระจกรอบคันสีฟ้า UV cut
ล้อแม็กซ์ O.Z. ขอบ 16
ดิสค์เบรค ล้อ แบบ รู 114 + ABS
ไล่ฝ้า และใบปัดหลังยังมีอยู่ แต่ไฟตัดหมอกหลังหายไปแล้ว
กระจกมองข้างไฟฟ้าพับได้
กุญแจรีโมท เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ส่วนของตัวถังมีสปอตจุดดามตัวถังเพิ่มเติมหลายจุด 
รุ่นนี้ค้ำโช๊คหน้ามีมาให้จากโรงงาน แบบ จุด
ภายในยังคงสีดำเป็นมาตรฐาน
ใช้เบาะRecaro SR- IV ผ้าสีส้ม รวมทั้งแผงประตู
พวงมาลัย MOMO แอร์แบ็ก คู่
แอร์ดิจิตอล เรือนไมล์สีขาว เลขส้ม
สีรถมี สี ขาว เทา ดำ น้ำเงิน แดง
ส่วนรุ่น RS ก็ตัดอุปกรณ์ ที่ไม่จำเป็นออกหมด
สังเกตุพวงมาลัย ไม่มีแอร์แบ็ก คอนโซลสีดำแบบเรียบ ไม่มีเก๊ะบน
สปอตไลท์หายไปมีฝาครอบแทน ล้อแม็ก ไม่มีให้
เบาะภายในแบบธรรมดา แต่โทนดำ เฟืองท้ายไม่มีระบบ AYC



EVOLUTION V
มกราคม 1998
จำกัดจำนวนผลิต 6,000 คันปรับโฉมให้เหมือนกับรุ่นไมเนอร์เชนจ์ของตระกูลแลนเซอร์ เพิ่มช่องรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อระบายความร้อนในเครื่องยนต์ 
ขนาดตัวถัง 4,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง 1,415มิลลิเมตร 
ฐานล้อยาว 2,510 มิลลิเมตร น้ำหนักตัว 1,360 กิโลกรัม เครื่องยนต์บล็อกเดิม
แต่เพิ่มแรงบิดสูงสุดเป็น 38.0 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ / นาที

รูปโฉมภายนอก พัฒนาจากรุ่น อีโวฯโฟร์ 
ไฟหน้าแบบใส
กันชนหน้า คล้ายๆ อีโวฯโฟร์ แต่กว้างกว่า
แก้ม ซ้าย ขวา เป็นอลูมิเนียม
ฝากระโปรงหน้าเป็นอลูมิเนียม
สเกิร์ตข้างทรงใหม่
มีโป่งคลุมล้อหลังด้วย
กันชนหลังขนาดใหญ่กว่า อีโวฯโฟว์
ในรุ่นนี้ เครื่องยนต์ มี 280 แรงม้า 
เบรค BREMBO เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เทอร์โบ พัฒนาขึ้นดีกว่ารุ่นเก่า
ล้อแม็กซ์ O.Z. ขอบ17
ระบบ AYC
Intercooler ใหญ่กว่ารุ่นก่อน
แกนโช๊คอัพ หน้า ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น
อุปกรณ์ภายในยังคงเหมือนรุ่น อีโวลูชั่น โฟว์
เปลี่ยนเบาะ Recaro รุ่นใหม่สีดำ ลายเคฟล่าห์
แผงประตูหุ้มหนังกลับสีดำ
ในรุ่น RS ก็เหมือนเดิม ตัดอุปกรณ์ออกหมด
ได้เกียร์โคลส มาแทน บวกกับเฟืองท้าย Limited ไม่มี AYC
รุ่นนี้มีให้เลือก สี ครับ
ขาว เทา ดำ แดง เหลือง
 


EVOLUTION VI
มกราคม 1999
จำกัดจำนวนผลิต 7,000 คัน
เน้นปรับปรุงชุดแอร์โรพาร์ท และระบบหล่อเย็นให้ตรงข้อกำหนดใหม่ของ FIAและปรับปรุงสปอยเลอร์หลังโดยใช้พื้นฐานรูปทรงเดิมแต่ฐานล่างทรงสามเหลี่ยมนูนเจาะ โล่ง
เพื่อประสิทธิภาพในการกดตัวถังขณะแล่นด้วยความเร็วสูง ปรับปรุงระบบกันสะเทือนให้ยึดเกาะถนนดีขึ้น 
ปรับปรุงการทำงานของระบบ AYC ให้แม่นยำยิ่งขึ้นระบบอัดอากาศเทอร์โบเปลี่ยนแกนเทอร์ไบน์มาใช้ไททาเนี่ยมเป็นครั้งแรกในโลก 

รุ่นนี้ภายนอกมีเปลี่ยน กันชนหน้าใหม่
ย้ายป้ายทะเบียนไว้ด้านข้าง
ซึ่งกลายเป็นตำนานการย้ายป้ายจนถึงทุกวันนี้
ล้อแม็กซ์ O.Z. ลายใหม่ ขอบ 17
สปอยเลอร์หลัง ชั้นแบบลอยตัว
เทอร์โบพัฒนาไปอีกขั้น แกนไททาเนียม
ปีกนกหลัง ในรุ่นอีโวลูชั่นซิกส์ เป็นอลูมิเนียมทั้งหมด
ร่นนี้ผลิตมา สีคับ
ขาว ดำ บรอนซื น้ำเงินลูไซท์ ฟ้าเข้มอีโว

EVOLUTION VI TOMMY MAKINEN LIMTED (6.5)
10 ธันวาคม 1999
จำกัดจำนวนผลิต 2,500 คัน
มิตซูซูบิชิสร้างอีโวลูชั่น VI เวอร์ชั่นพิเศษเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ทอมมี่ มาคิเนน 
อดีตนักแข่งทีมมิตซูบิชิ แรลลี่อาร์ต ซึ่งแตกต่างจากอีโวลูชั่น VI เล็กน้อย
ยึดการตกแต่งด้วยโทนสีแดง ออกแบบชุดแอโรพาร์ทใหม่ทั้งหมด
ลดความสูงของตัวถังจรดพื้นถนนจากรุ่นเดิมลงไปอีก 10 มิลลิเมตร 
ถังน้ำมันพร้อมฝาปิดแบบใหม่ป้องกันการกระฉอกขณะเข้าโค้งต่างระดับด้วยความเร็วสูง 
ขุมพลังมีแรงม้าเท่าเดิม แต่ลดลงมาอยู่ที่ 38.0 กม.-ม.ที่ 2,750 รอบ / นาที

สีพิเศษคือสีแดง 
มีการเปลี่ยนกันชนหน้าให้ดูสปอร์ตมากขึ้น พร้อมคาดลายจากโรงงาน
ภายในเน้นโทนสีแดงครับ
ตั้งแต่เบาะ ลายสีแดงน่านั่งมากๆ พร้อมปักชื่อรุ่น ไว้อย่างโก้หรู
พวงมาลัยด้ายแดง เรือนไมล์จอดำ ตัวเลขแดง
ล้อแม็กซ์ขอบ 17 ของ Enkai สีขาว ครับ นอกนั้นก็คล้ายกะรุ่นอีโว 6นะคับ แต่ดีกว่ารุ่นก่อนนิดนึง

Evolution VII
26 มกราคม 2001
จำกัดจำนวนผลิต 10,000 คัน
เป็นครั้งที่ ที่เปลี่ยนตัวถังใหม่โดยใช้พื้นฐานของแลนเซอร์ซีเดีย
มีขนาดตัวถังยาวขึ้นเป็น 4,455 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง1,450 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,625 มิลลิเมตร ปรับปรุงให้แตกต่างจากรุ่นมาตรฐานหลายจุด
เช่น ฝากระโปรงหน้าอะลูมิเนียมพร้อมช่องดังอากาศ
การตกแต่งภายในยังคงบุคลิกสปอร์ตไว้เต็มพิกัด 
เครื่องยนต์ 4G63 ถูกปรับปรุงท่อทางเดินไอเสีย
เพื่อให้อากาศหลังการเผาไหม้ระบายออกสู่ปลายท่อดีขึ้น 
เพิ่มความกว้างให้กับอินเตอร์คูลเลอร์รีดกำลังสูงสุดออกมาได้
ที่ 280 (PS) ที่ 6,500 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 39.0 กก.- ม. 3,500 รอบ / นาที 
และยังคงส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา จังหวะ รุ่น W5M51 
ระบบขับเคลื่อน ล้อเปลี่ยนมาใช้ระบบ ACD (Active Center Differential) 
เป็นครั้งแรกในโลก แทนระบบ Viscous Coupling 
โดยใช้ระบบแรงดันไฮโดรลิกร่วมกับคลัตช์หลายแผ่นมั่นใจด้วยดิสก์เบรก ล้อ คาลิปเปอร์ 
พร้อม ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD
(Electronic Controlled Brake Force Distribution System) 
พร้อมระบบลดความร้อนของจานเบรกและวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก PVC ( Presure Control Valve)


EVOLTION VII GT – A
เป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติรุ่นแรกในตระกูลอีโวลูชั่นนำเกียร์อัตโนมัติ 5จังหวะ
INVECS – II พร้อมโหมดบวก – ลบมาติดตั้ง
ส่งผลให้กำลังสูงสุดของเครื่องยนต์บล็อกเดิมลดลงเหลือ 272 แรงม้า (PS) 
ที่ 6,500 รอบ / นาที แรงบิดเหลือ 35 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ / นาที
อีกทั้งยังมีรายละเอียดการตกแต่งภายในและภายนอกต่างจากอีโวลูชั่นVII เล็กน้อย

แรงแบบออโต้ครับ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส
สายพันธ์เดียวกับตัวแข่ง
เครื่องยนต์รหัส 4G63 ตัวเดียวกะตัวแข่ง แต่สะดวกสบายกว่าด้วยเกียร์ออโต้ INVECT II
GT-A ฝากระโปรงเรียบไม่มีช่องระบายความร้อน
กันชนไม่มีช่องลมตรงกลาง ป้ายทะเบียนอยู่ตรงกลาง โคมไฟหน้า-หลังขาวทั้งหมด
ล้อลายเดียวกะอีโวแต่ปัดเงาทั้งวง สปอยเลอร์หลังทรงเตี้ยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เครื่องยนต์เดียวกับอีโวแต่โดนตอนแรงม้าลงเหลือ 272 ตัวที่ 6500รอบ 
โดยมีแรงบิดที่ 35.0กก.ที่ 3000 รอบ ออฟชั่นต่างๆ เทียบเท่าอีโวบวกเกียร์ออโต้ สปีด
แก้มหน้า ฝากระโปรง เป็นอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ประตูมีคานเหล็กนิรภัยทั้ง บาน
ตามจุดต่างๆ มีการสปอตตัวถังไว้อย่างดี เรือนไมล์ขาวพร้อมไฟบอกเกียร์
สปอยเลอร์หลังทรงสูงต้องเพิ่มเงิน สปอยเลอร์หลังทรงเตี้ยได้มาจากโรงงาน
ไม่เอาสปอยเลอร์ต้องจ่ายเพิ่มด้วยนะ (ในญี่ปุ่น) รุ่นนี้มีสีให้เลือก สี

Evolution VIII
28 มกราคม 2003
จำกัดจำนวนผลิต 5,000 คัน
เป็นครั้งแรกที่มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มส่งออกสายพันธ์ความแรงอีโวลูชั่นไปวาดลวดลายยังท้องถนนในดินแดนลุงแซม (สหรัฐอเมริกา) จุดประสงค์หลักของการปรับปรุงอีโวลูชั่น VIII พุ่งเป้าไปที่การยกระดับสมรรถนะที่ดีอยู่แล้วในอีโวลูชั่น VII ให้ดียิ่งขึ้น เริ่มจากขุมพลังรหัส4G63 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์และเทอร์โบถูกปรับปรุงรายละเอียดเล็กน้อย เพิ่มความทนทานของลูกสูบอะลูมิเนียม และก้านสูบแบบเหล็กหล่อ รวมทั้งเปลี่ยนใช้สปริงวาล์วน้ำหนักเบา เพื่อช่วยลดแรงเฉื่อยและแรงเสียดทานในการทำงานของชุดวาล์ว
เวอร์ชั่นญี่ปุ่นยังคงแรงอยู่ที่ 280 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ / นาที เพิ่มแรงบิดให้สูงขึ้น 40.0 กก. – ม. ที่ 3,500 รอบ / นาที โดยรุ่น GSR จะส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา จังหวะ อัตราทดชิด (Close Ration ) รุ่นW6MAA พร้อมแหวนยกแป้นใต้หัวเกียร์ป้องกันการเข้าเกียร์ถอยหลังผิดผลาดเหมือนรถยุโรปบางรุ่น แต่รุ่น RS ยังคงติดตั้งเกียร์ธรรมดา 5จังหวะ อัตราทดชิด Super Close Ration รุ่น W5M51 โดยมีเกียร์ 6จังหวะจากรุ่น GSR ให้เลือกเป็นออฟชั่นพิเศษ สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงระดับ 9.7 กิโลเมตร / ลิตร โดยรุ่น RS ใช้ถังน้ำมันขนาด 55 ลิตร แต่ในรุ่น GSR เปลี่ยนขนาถังให้ใหญ่ขึ้นอีก ลิตร เป็น 62 ลิตร ส่วนเวอร์ชั่นอเมริกันจำเป็นต้องลดพิกัดความแรงลงมาเพื่อให้ผ่านมาตรฐานมลพิษระดับ LEV1 - LEV ของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ลงมาเหลือ 275 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ / นาที แรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ / นาที พ่วงกับเกียร์ธรรมดา จังหวะ
ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไหนจะถูกพ่วงเข้ากับระบบขับเคลื่อน ล้อพร้อมระบบเพลากลาง ACD (Active Center Differential) ทำหน้าที่แทน Viscous Coupling โดยใช้ระบบแรงดันไฮโดรลิก ร่วมกับคลัตซ์หลายแผ่น เพื่อกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ไปสู่ล้อคู่หน้าและหลังเท่าๆ กัน อีกทั้งผู้ขับขี่ยังเลือกการทำงานได้ โหมดตามสภาพถนนคือ Tarmac / Gravel / Snow
นอกจากนี้เฉพาะรุ่น GSR ยังเพิ่มระบบชุดเฟือง Super AYC (Active Yaw Control ) ติดตั้งใกล้เฟืองท้ายทำงานประสานกับระบบ ACD เพื่อเข้าโค้งได้ฉับไวและทรงตัวดีเมื่อเบรกกะทันหัน
ระบบกันสะเทือนยกมาจากรุ่นเดิม หน้าแมคเฟอร์สันสตรัทหลังแบบมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลงหน้า – หลัง ถูกปรับปรุงจุดยึดต่างๆ เพื่อให้ช่วยลดการบิดตัว ส่งผลให้ยึดเกาะถนนดีขึ้น ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกมีรูระบายอากาศทั้ง ล้อ คู่หน้าเป็นแบบ คาลิปเปอร์ส่วนคู่หลังมี คาลิปเปอร์ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ถูกอัพเกรดขึ้นเป็นแบบ Sport ABS มีเซนเซอร์จับอาการล็อกล้อทั้ง เพิ่มเซนเซอร์จับการหมุนของพวงมาลัยและหมุนเลี้ยวของล้อทั้ง เพื่อคำนวณหาแรงเบรกที่เหมาะสมของแต่ละล้อและสั่งการไปยังล้อข้างนั้น ๆ ส่วนระบบกระจายแรงเบรก EBD พร้อมระบบลดความร้อนของจานเบรกและวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก PVC (Pressure Control valve )
โครงสร้างตัวถังมีความยาว 4,490 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง1,450 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,625 มิลลิเมตร กระจังหน้าทรงปิรามิดลายเอกลักษณ์ใหม่ของมิตซูบิชิกลืนเป็นช้อนเดียวกับกันชนหน้า เสริมการทำงานด้วยแผ่นปิดใต้ท้องเครื่องยนต์ช่วยให้การระบายอากาศเข้าสู่อินเตอร์คูลเลอร์ดีขึ้นกกว่าเดิม 10% และเพิ่มแรงกดให้กดให้กระแสลมบริเวณด้านหน้าทำให้อากาศไหลผ่านอย่างไหลลื่น ทั้งยังลดค่าสัมประสิทธิ์หลักอากาศพลศาสตร์ได้อีกด้วยสปอยเลอร์หลังหล่อขึ้นรูปจากพลาสติกผสมคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP (Carbon Fiber - reinforced Plastic ) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรถยนต์ซีดานจากสายการผลิตบริษัทแม่โดยตรง
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีดำเป็นหลัก แผงหน้าปัดตกแต่งคอนโซลด้วยสีน้ำเงินชุดมาตรวัดความเร็วจะเพิ่มตัวเลขให้เกินพิกัดความเร็วสูงสุดถึง 270 กิโลเมตร / ชั่วโมง แต่ยังจะมีระบบตัดการจ่ายเชื้อเพลิงเมื่อถึงความเร็ว 180 กิโลเมตร / ชั่วโมง ตามกฎหมายของญี่ปุ่นไว้เช่นเดิม

เครื่องยนต์สเป็กด้อยกว่านิดนึง แค่ 276 แรงม้า
Specifications 
Engine 
Type: Inline-4, Turbocharged 
Displacement cu in (cc): 122 (1997) 
Power bhp (kW) at RPM: 276(206) / 6500 
Torque lb-ft (Nm) at RPM: 286(388) / 3500 
Redline at RPM: 7000 
Brakes & Tires 
Brakes F/R: ABS, vented disc/vented disc 
Tires F-R: 235/45 ZR17 
Driveline: All Wheel Drive 
Exterior Dimensions & Weight 
Length × Width × Height in: 178.5 × 69.7 × 57.1 
Weight lb (kg): 3263 (1480) 
Performance 
Acceleration 0-62 mph s: 5.1 
Top Speed mph (km/h): 157 (253) 
Fuel Economy EPA city/highway mpg (l/100 km): 18/26 (n.a.)         
Evolution VIII MR

Specifications 
Engine 
Type: Inline-4, Turbocharged 
Displacement cu in (cc): 122 (1997) 
Power bhp at RPM: 280 / 6500 
Torque Nm at RPM: 400 / 3500 
Redline at RPM: 7000 
Brakes & Tires 
Brakes F/R: ABS, vented disc/vented disc 
Tires F-R: 235/45 ZR17 
Driveline: All Wheel Drive 
Exterior Dimensions & Weight 
Length × Width × Height in: 178.5 × 69.7 × 57.1 
Weight lb (kg): n.a. 
Performance 
Acceleration 0-62 mph s: 5.1 
Top Speed mph (km/h): 157 (253) 
Fuel Economy EPA city/highway mpg (l/100 km): 18/26 (n.a.)
จุดเด่นของรุ่นนี้คือ 
หลังคาอลูมิเนียม
ช่วงล่าง บิลสไตน์
ล้อ BBS (8ธรรมดา เป็น เอ็นไก)
มีครีบหลัง
 
จุดเด่นอื่นๆ
ภายในสีดำ ดุดันทั้งคัน
สัญลักษณ์MR บริเวณคอนโซลเกียร์
โคมไฟหน้า-หลัง พ่นสีดำด้าน
EVOLUTION IX
อีโวลูชั่น แบ่งออกเป็น รุ่น คือ จีแอลเอสอาร์เอส และรุ่นท็อปไลน์ เอ็มอาร์ (มิตซูบิชิ เรซซิ่ง) 
ลูกค้าสามารถเลือกการตกแต่งได้หลากหลายรูปแบบตามแต่รสนิยมความต้องการ 
รวมถึงการตกแต่งให้ใกล้เคียงกับตัวแข่งแรลลี่โลก WRC ให้มากที่สุดก็สามารถทำได้
อีโวลูชั่น ใช้เครื่องยนต์ บล็อก สูบเรียง 16 วาล์ว พ่วงเทอร์โบ-อินเตอร์คูลเลอร์เวอร์ชั่นล่าสุด
โดยทำงานพร้อมกับระบบ Mivec ยกวาล์วผันแปรตามรอบเครื่องยนต์ ช่วยรีดพละกำลังได้สูงสุด 280 แรงม้า 
ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 390 นิวตัน-เมตร มาที่รอบต่ำเพียง3,500 รอบ/นาที
ระบบส่งกำลังใช้แบบเกียร์ธรรมดา สปีดในรุ่นจีแอลเอสและอาร์เอส 
ซึ่งได้รับการปรับปรุงอัตราทดให้ถ่ายเทแรงบิดได้ไหลลื่นยิ่งขึ้น
ขณะที่อัตราทดในเกียร์สูงสุดก็ได้รับการพัฒนาเพื่อการใช้ความเร็วสูง
ในส่วนของรุ่นเอ็มอาร์ ใช้ระบบเกียร์ธรรมดาแบบ สปีด ในส่วนของช่วงล่างได้รับการปรับแต่งให้แน่นปึ๊กสไตล์แรลลี่ช็อกอัพใช้ของบิลสไตน์
ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ ออลวีลไดรฟ์ ตะกุยสี่ล้อตลอดเวลา
ซึ่งจะมาพร้อมกับระบบควบคุมแรงบิด ACD ปรับเปลี่ยนได้ โหมด 
สำหรับสภาพถนนแบบ ฝุ่นกรวดลาดยาง และพื้นหิมะ 
ขณะที่ระบบเบรกใช้ของเบรมโบคอยคุมฝูงม้าไม่ให้พยศเกินความจำเป็น
รูปโฉมภายนอกดีไซน์ใหม่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ สร้างแรงกดตามหลักแอโรไดนามิกส์ 
และเพื่อระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของล้ออัลลอย ถือว่า 
เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของอีโวลูชั่น แทบทุกรุ่น
สำหรับ "อีโว 9" ใช้ล้อของเอนไก อะลูมิเนียมอัลลอยน้ำหนักเบา
ขนาด 17 นิ้วหุ้มด้วยยางขนาด 235/45 R17 ของโยโกฮาม่า แอดวาน เกาะถนนเหนียวแน่นหนึบ
การตกแต่งภายใน ทางมิตซูบิชิเน้นให้ถอดแบบมาจากตัวแข่งแรลลี่ให้มากที่สุด
เบาะที่นั่งบั๊กเก็ตซีทของสปาร์โก หุ้มด้วยอัลคันทาร่าและหนังแท้ โอบกระชับและนั่งสบาย 
พวงมาลัยสามก้านทรงซิ่งสีไทเทเนี่ยมของโมโม แป้นเหยียบอะลูมิเนียมกันลื่น
ส่วนแผงข้างประตู และคอนโซลใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์

Evolution Wagon
Specifications 
Engine
Type: Inline-4, Turbocharged 
Displacement cc: 1997
Power bhp at RPM: 280 / 6500 
Torque Nm at RPM: 398 / 3000 
Redline at RPM: 7000 
Transmission : 6-speed MT / 5-speed AT
Brakes & Tires 
Brakes F/R: ABS, vented disc/vented disc 
Tires F-R: 235/45 R17 
Driveline: All Wheel Drive 
Exterior Dimensions & Weight 
Length × Width × Height in: n.a. 
Weight lb (kg): n.a. 
Performance 
Acceleration 0-62 mph s: n.a. 
Top Speed mph (km/h): n.a. 
Fuel Economy EPA city/highway mpg (l/100 km): n.a.


Concept X หรือ EVOLUTION X

มิตซูบิชิเปิดเผยว่าต้นแบบรุ่นนี้ใช้ชื่อว่า คอนเซ็ปต์-เอ็กซ์ ที่เตรียมมาเพื่อเปิดตลาดในนามของ อีโวลูชั่น 10มากับตัวถัง ประตูสุดสวย ได้รับการออกแบบโดยเน้นความสปอร์ตในทุกรายละเอียด โดยผสานกับความโค้งมนกลมกลืนของตัวถัง อีกทั้งยังได้รับการลดน้ำหนักแบบสุดๆ กับการนำอะลูมิเนียมมาใช้ผลิตฝากระโปรงพื้นตัวถังของห้องเก็บสัมภาระหลังคากันชน และแผงประตูทั้ง บาน
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต และด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงก์ พร้อมเทคโนโลยีใหม่ของมิตซูบิชิที่เรียกว่า Roll Control Suspension ที่ช่วยควบคุมไม่ให้ตัวรถมีอาการโคลงไปมาในขณะขับหรือเข้าโค้ง
ตัวถังซีดาน ประตูของต้นแบบรุ่นนี้มีความยาว 4,530 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร สูง 1,470 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,650มิลลิเมตร เสริมความสปอร์ตด้วยล้อแม็กวงโตขนาด 9X20 นิ้ว และยางขนาด 225/35R20
เครื่องยนต์เป็นบล็อก สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน MIVEC อัดอากาศเพิ่มความแรงด้วยเทอร์โบ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ซึ่งทางมิตซูบิชิยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดออกมา แต่คาดว่าน่าจะเป็นบล็อกเดียวกับที่วางอยู่ในอีโวลูชัน ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี 2005
ส่วนระบบส่งกำลังมาในมาดใหม่กับระบบเกียร์แบบซีเควนเชียล 6จังหวะที่ไม่ต้องเหยียบแป้นคลัตช์ให้เมื่อยขาซ้าย โดยใช้พื้นฐานของเกียร์ธรรมดา แต่ใช้ระบบคลัตช์ไฟฟ้า เปลี่ยนเกียร์ผ่านทางแป้น + หรือ– ที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย คล้ายกับพวกเกียร์เซเลสปีดของอัลฟา
ขณะที่ระบบขับเคลื่อน ล้อเป็นเทคโนโลยีใหม่เช่นกันเรียกว่า S-AWC หรือ Super All Wheel Control ที่ใช้พื้นฐานเดียวกับระบบขับเคลื่อน ล้อในอีโวลูชันรุ่นล่าสุด แต่มีการปรับปรุงให้ทำงานดีขึ้น และเสริมการทำงานร่วมกับระบบ ABC หรือ Active Brake Controlและระบบ Steering System เพื่อความแม่นยำในขณะเข้าโค้งและความปลอดภัยในขณะขับขี่
ทั้งหมดคือตำนานกว่า 13 ปี ที่ อีโวลูชั่นครองตำแหน่งหัวแถวในสนามแข่ง บนท้องถนน และในความทรงจำจองผู้ที่ชื่นชอบความแรงจากพละกำลังของสปอร์ตซีดานขับเคลื่อน ล้อรุ่นพิเศษที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะ อีโวลูชั่น IX ที่ยังรอคอยผู้ขับขี่ที่มีความเร็วและแรงอยู่ในหัวใจได้ครอบครองเป็นเจ้าของ
  

เปลี่ยนแปลงรูปโฉมให้ โหดร้าย” ขึ้น
สำหรับ EVO IX ก็จะมีจำหน่ายทั้งหมด รุ่นคือ MR เป็นเวอร์ชั่นพิเศษ (ตอนที่กำลังโม่ต้นฉบับอยู่นี้ ข้อมูลของ IX MR ยังไม่แน่ชัด มีแต่รูปจากอินเตอร์เน็ตให้ชมกันตามที่เห็น ก็ขอไม่กล่าวถึงข้อมูลที่ยังไม่ชัวร์ครับ เอาเป็นว่าชมข้อมูลสามรุ่นหลักไปก่อนนะ) ต่อมาเป็นGSR ก็คือตัวที่ทำขายทั่วไป รุ่นที่สามเป็น GT เหมือนกับ GSR แต่ใช้เกียร์ธรรมดา สปีด และ RS ผลิตสำหรับเป็นรถแข่ง ไม่มีอุปกรณ์สวยงาม หรืออำนวยความสะดวกแต่อย่างใด ภายนอกของ IX เมื่อดูเผิน ๆ เหมือนทุกอย่างยังคงเหมือน EVO VIII แต่มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย ไม่ถึงกับทิ้งขาด จุดเปลี่ยนในด้านหน้าก็คือ ส่วนของหน้ากระจัง ตัว VIII จะมีสันจมูก (ตรงที่ติดโลโก้) ส่วน IX จะไม่มีจมูกตรงนี้ ส่วนทรงของช่องลมที่กันชนก็จะใหญ่และกว้างขึ้น เพื่อการระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม มีสปอตไลท์ทรงกลมติดที่กรอบช่องลมที่ไปเป่าอินเตอร์คูลเลอร์ ส่วนที่เด่น ๆ อยู่ที่กันชนด้านหลัง ตรงชายล่างจะปาดมุม ใส่ครีบระบายลม ทำเป็น Diffuser เพื่อจัดและรีดลมออก ไม่ให้วนอยู่ด้านท้าย ถ้าเกิดมาลมวนจะทำให้เกิดการ ดึง” ให้รถวิ่งช้าลง และทำให้ท้ายลอยได้อีก ที่สำคัญ สวยดุ” อีกตะหาก สปอยเลอร์หลังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ เหมือนกับตัว VIII MR ส่วนที่พิเศษอีกจุด สำหรับ IX MR นั่นก็คือ บนหลังคาจะมีครีบจัดลม หรือ“Blowtech Generator” ที่เค้าว่าช่วยรีดลมจากหลังคาให้ออกไปด้านหลังได้เร็วขึ้น ลมไหลได้สะดวกขึ้น ก็ช่วยลดการต้านลมได้เหมือนกัน ส่วนล้อและยาง ถ้าเป็น MR ก็จะได้ล้อ BBS ลาย ก้านคู่ สีเทาดำ และยางเป็นของ YOKOHAMA 
ภายในเข้ม เต็มสูตร 

สำหรับส่วนของภายใน ก็จะคงสไตล์ความดุดันไว้อย่างครบ ๆ ด้วยสีโทนเทา-ดำ ช่วยให้ดูขรึม สง่า และดุดันมากขึ้นกว่าสีแหวว ๆ แถมความสบายไว้ครบถ้วน (ยกเว้นรุ่น RS) ชุดมาตรวัดเป็นแบบทรงกลม พื้นดำ แต่พอเปิดไฟจะเป็นสีแดงสวยเร้าใจ ทุก แผงหน้าปัดตกแต่งด้วยลวดลายคาร์บอน เบาะนั่งแบบ Bucket Seat ของ RECARO เป็นแบบกำมะหยี่ สลับกับหนัง ALCANTARA ที่ฝอยสรรพคุณไว้ว่า ระบายอากาศดี ไม่ร้อน นั่งสบายนุ่มตูด (เฉพาะ MR และ GSR) คอนโซลเกียร์เป็นลายคาร์บอน พร้อมโลโก้ LANCER EVOLUTION (ถ้าเป็นรุ่น MR ก็จะมีอักษรสีแดงต่อตูด) เท่ห์ดีไม่เบา ส่วนแป้นเหยียบทั้งสามก็เป็นอลูมิเนียมติดแถบยาง จัดวางตำแหน่งแป้นให้ Footwork ได้รวดเร็ว ส่วนของการเก็บเสียงในห้องโดยสารก็เน้นกันมากหน่อยเพื่อความสบายในการขับขี่ EVO IX ทุกรุ่น (ยกเว้น RS) ก็จะใช้ชีลขอบกระจกแบบสองชั้น และบุใต้แผงหน้าปัดเพื่อลดเสียงรบกวน


4 G 63 + MIVEC อาวุธใหม่ล่าสุด
สำหรับขุมพลังของ EVO ทุกรุ่น ย่อมหนีไม่พ้น “4G 63” ซึ่งเป็นอาวุธคู่บารมีมาช้านาน ขึ้นชื่อในด้านความแรง อัตราเร่งเยี่ยม ขุนขึ้น จึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และได้รับการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนมีทั้งความแรงและความอึด ถึงแรงม้าจะถูกอั้นไว้ที่ 280 ตัว ตามกฎหมายบ้านเกิด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะสามารถเพิ่มแรงม้าได้อีกตามกะตังค์ที่มีอยู่ มาในงวดนี้ก็พัฒนาใหม่อีกหลายรายการ เพื่อ หนี” คู่แข่ง ไม้เด็ดของงานนี้ก็คือ ระบบวาล์วแปรผัน “MIVEC” หรือ “Mitsubishi Innovative Innovative Valve timing Electronic Control system” ช่วยปรับองศาและระยะเปิดปิดวาล์วให้เหมาะสมกับการทำงานของเครื่องยนต์ จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนัก เพราะมีใช้กันมานานแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นการเปิดศักราชกับเครื่อง 4G 63 ก็เลยดูใหม่หน่อย ลองมาดูการทำงานคร่าว ๆ กันดีกว่า 
การทำงานของมันก็จะมีกลไกปรับจังหวะการเปิดปิดของแคมชาฟต์ด้านไอดี ในช่วงรอบต่ำ กลไกจะขยับแคมชาฟท์ถอยหลัง (Retard)เพื่อลดจังหวะโอเวอร์แล็ป (Overlap : จังหวะที่วาล์วไอเสียยังไม่ปิดสนิท แต่วาล์วไอดีเริ่มเปิด เพื่อใช้ไอดีส่วนหนึ่งไล่ไอเสียออก) ช่วงรอบต่ำถ้า Overlap มาก ก็จะมีการสูญเสียเกิดขึ้น เนื่องจากมีการรั่วไหลของส่วนผสมออกไป ในจังหวะที่วาล์วทั้งสองด้านเปิดพร้อมกัน ทำให้ในช่วงรอบต่ำซึ่งอากาศเข้าน้อยอยู่แล้ว แถมรั่วออกไปอีก เครื่องยนต์ก็จะเดินไม่เรียบ กินน้ำมันมาก แรงบิดรอบต่ำก็หายไป เพราะมีการสูญเสียเยอะ เหมือนกับรถที่ใช้องศาแคมสูง ๆ และตั้งOverlap มาก รอบเดินเบาจะสั่น และช่วงรอบต่ำจะไม่มีแรง ถ้าจะให้รอบต่ำดีก็ต้องลดจังหวะ Overlap ลง เพื่อลดการสูญเสีย ทำให้เครื่องเดินเบาได้เรียบ ประหยัดน้ำมัน แรงบิดรอบต่ำดี ส่วนในช่วงรอบสูงที่มีอากาศเข้าเยอะ ถ้า Overlap น้อย ช่วงเวลาที่วาล์วจะเปิดก็น้อยตาม ทำให้อากาศไหลเข้าไม่ทัน เครื่องก็ไม่มีแรง เกิดอาการอั้น ทำให้ต้องเพิ่ม Overlap มากขึ้น เจ้ากลไกก็จะขยับแคมชาฟท์ไอดี เดินหน้า” ให้เปิดเร็วขึ้น Overlap นานขึ้น ก็จะได้กำลังมากขึ้น 

ส่วนต่อมาก็คือ เทอร์โบ” ในรุ่น MR, GT และ RS จะให้เทอร์โบแบบพิเศษเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน จะมีค่า A/R มากกว่าเดิม ใบเทอร์โบมีขนาดใหญ่กว่าเดิม ผลิตจาก Magnesium Alloy และ Aluminum Alloyทำให้ใบมีน้ำหนักเบา แข็งแรง บูสต์มาไวกว่าเดิม อันนี้เป็นเทอร์โบที่พัฒนามาจากตัวแข่ง WRC ไม่ต้องบอกว่าเจ๋งแค่ไหน ส่วนรุ่น GSR ก็จะใช้เทอร์โบแบบธรรมดา แต่พัฒนาให้มาเร็ว เพิ่มแรงบิดได้กว้างกว่าเดิม 5 % ในทุกช่วง แต่ถ้าใครต้องการแรงก็สามารถสั่งเทอร์โบพิเศษที่ว่ามาตอนต้นมาใช้ได้ (ขายเป็น Option ครับ) จากเทคโนโลยีที่ใส่เข้าไป ทำให้เครื่องยนต์มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ดุดัน และต่อเนื่องขึ้น สำหรับแรงม้าสูงสุดก็ยังคงยืนพื้นตามกฎหมายไอ้ยุ่นอยู่ที่ 280 PSที่ 6,500 รอบ/นาที เท่าเดิม แต่...แรงบิดเพิ่มขึ้น ในรุ่น MR, GT และ RSที่ใช้เทอร์โบพิเศษ แรงบิดอยู่ที่ 41.5 กก.-ม. ส่วน GSR จะน้อยกว่าหน่อยเป็น 40.8 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที เท่ากันทั้งคู่ นับว่าเป็นเครื่องสี่สูบ พิกัดสองลิตรที่มีแรงบิดสูงมาก ๆ เลยก็ว่าได้ ก็คงไม่ต้องสงสัยนะ ว่ามันจะ โดดออก” ได้ขนาดไหน สำหรับตัวเลขสมรรถนะก็ยังไม่มีข้อมูลเป็นทางการ ก็มีผู้สันทัดกรณีเดา ๆ กันว่า อัตราเร่ง 0-100กม./ชม. อยู่ราว ๆ วินาทีนิด ๆ ส่วนความเร็วปลายก็ควรจะอยู่ที่ 250กม./ชม. เพราะรถรุ่นนี้ก็เน้นอัตราเร่งมากกว่าความเร็วปลาย ส่วนระบบส่งกำลัง รุ่น MR และ GSR จะเป็นเกียร์ธรรมดา สปีด อัตราทดชิด ส่วนรุ่น GT และ RS ก็จะเป็นเกียร์ธรรมดา สปีด อัตราทดชิดเหมือนกัน เกียร์ของทั้งสองรุ่นมีการปรับปรุงใหม่ โดยเกียร์สุดท้ายจะลดอัตราทดให้ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ เพื่อลดรอบเครื่องในขณะเดินทาง ซึ่งก่อนหน้าที่ตระกูล EVO จะใช้อัตราทดเกียร์ที่สูงมากเพื่อเรียกอัตราเร่ง จนช่วงความเร็วปลายต้องใช้รอบสูง ทำให้กินน้ำมันมาก และเครื่องมีโหลดสูงเกินไป ตัวใหม่ก็เลยพัฒนาเพื่อแก้จุดนี้ ให้ขับได้สบายและประหยัดขึ้น





ทรงตัวเยี่ยม ด้วยผู้ช่วยฉลาด ๆ อย่าง “SUPER AYC + ACD” 

จริง ๆ แล้วก็พูดกันไปบ่อยพอควรสำหรับสองระบบนี้ แต่เอาน่า ขอพูดถึงอีกสักครั้งจะเป็นอะไรไป อันแรกก็คือระบบ ACD หรือ Active Center Differential เป็นระบบเฉลี่ยกำลังระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ และการยึดเกาะของยางในขณะแรดบนสภาพพื้นถนนที่แตกต่างกัน ทำงานโดยอาศัยแผ่นคลัทช์หลายแผ่นซ้อนกัน (Multi-Plate Clutch) และใช้ระบบไฮดรอลิคเป็นตัวดันแผ่นคลัทช์ให้จับตัว (ลักษณะเหมือนแผ่นคลัทช์ของเกียร์อัตโนมัติ) โดยมีโหมดการใช้งานให้เลือก 3โหมด อันแรก TARMAC สำหรับผิวที่ลื่น อย่างเช่นทางลูกรังทางเปียก ต่อมา GRAVEL เป็นถนนแห้ง และ SNOW ไม่ต้องบอกนะ ตรงตัวอยู่แล้ว ก็จะช่วยให้ขับขี่ง่ายขึ้นในสภาพเส้นทางต่าง ๆ 
ต่อมาก็คือ SUPER AYC หรือ Active Yaw Control เป็นระบบที่ควบคุมการโยน และส่ายของตัวรถ โดยเฉลี่ยแรงบิดให้ล้อด้านซ้ายและขวาให้เหมาะสมตามสภาพการยึดเกาะเช่นกัน ยกตัวอย่างตอนวิ่งบนถนนที่ผิวถนนสองด้านต่างกัน ล้อด้านหนึ่งเกิดอาการสลิป ก็จะตัดกำลังไปยังล้อที่อีกฝั่งที่ยึดเกาะมากกว่า (ยกเว้นถ้าสลิปทั้งสองข้าง ระบบ ACD ก็จะทำงานร่วมกัน ตัดกำลังไปยังล้อคู่ที่ยึดเกาะมากกว่า) ถ้าเป็นลิมิเต็ดสลิปธรรมดาจะไม่สามารถเลือกตัดกำลังได้ (มีแต่ส่ง) หรือตอนที่วิ่งบนถนนที่สองฝั่งมีเนินสลับต่างระดับกัน ถ้าขับเร็ว ๆ ล้อที่ขึ้นโดดเนินก็จะลอย และหมุนฟรี ทำให้รถเป๋และส่ายได้ ระบบ AYC ก็จะช่วยตัดต่อกำลัง ทำให้รถทรงตัวได้ดีขึ้น ถึงจะกดคันเร่งลึกก็ไม่มีอาการปัดเป๋ (ยกเว้นจะขับงี่เง่าเอง) และระบบ SUPER AYC นี้ จะพัฒนามาจาก AYC ธรรมดา โดยเริ่มใช้กับ EVO VIII ส่วนที่พัฒนาขึ้นมาก็คือ เปลี่ยนเฟืองส่งกำลังล้อซ้าย-ขวา จากแบบดอกจอก (Bevel Gear) มาเป็นแบบเฟืองสุริยะ (Planetary Gear) แบบแปรผันได้ตามแรงบิดเครื่องยนต์ โดยประมวลผลจากเซ็นเซอร์แรง Gด้านข้าง (Lateral G) จับอาการแกว่งและส่ายของตัวรถ และเซ็นเซอร์ที่ล้อ (ใช้เซ็นเซอร์ร่วมกับ ABS) วัดรอบการหมุนของล้อ เพื่อประมวลผลให้ได้แน่นอนที่สุด อ้อ สำหรับระบบนี้จะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้รุ่น MR และGSR ส่วนอีกสองรุ่นที่เหลือสั่งเป็นออปชั่นได้ครับ





ช่วงล่าง เหนียว แน่น หนึบ
สำหรับระบบช่วงล่างด้านหน้าก็จะยังแบบของ VIII ไว้ เป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท โช้คอัพ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ มัลติลิงค์ โช้คอัพ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ปีกนกล่างรอบคันจะเป็นอลูมิเนียม น้ำหนักเบา สำหรับโช้คอัพของ EVO IX ทุกรุ่น (ยกเว้น RS) จะพิเศษขึ้น โดยเป็นของ BILSTIEN ที่เซ็ตมาเป็นแบบสปอร์ต หนึบ ทรงตัวดี ให้ความมั่นคงสูง (จริง ๆ แล้วโช้คอัพของ BILSTIEN จะเริ่มใช้กับ EVO VIII MR มาก่อนหน้านี้ แล้วค่อยเอามาใช้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานใน EVO IX เวอร์ชั่นปกติ) ส่วนระบบเบรกทุกรุ่น (ยกเว้น RSหยั่งงี้แหละ รุ่นตัวแข่ง อะไรก็ไม่มี) จะเป็นของ BREMBO ด้านหน้าแบบ 4 POT และด้านหลังแบบ 2 POT พร้อมระบบ SPORT ABS ก็จะพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ ก็คือสามารถตั้งจังหวะจับ-ปล่อยเบรกได้อิสระทั้ง ล้อ (แต่คงต่างกันไม่มาก) ตามสภาพการยึดเกาะของล้อ ก็ช่วยให้ ABS ทำงานเท่าที่จำเป็น และควบคุมง่ายแม้เบรกกะทันหันบนทางลื่น 

สรุปก็คือ แรงและเร็ว
เสียดายเนื้อที่ไม่พอ เพราะรายละเอียดของอุปกรณ์ไฮเทคต่าง ๆ ที่หาได้มันสามารถขยายความได้มากกว่านี้อีก แต่เนื้อที่ไม่พอก็ขอละไว้ก่อน ถ้ามีหน้าว่างก็จะแปลแบบละเอียด ๆ ลงเป็นเรื่องพิเศษให้ละกัน หลังจากที่เปิดตัวกันไปไม่นาน ก็รู้สึกว่าจะได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย ด้วยเทคโนโลยีที่สูง พัฒนาขึ้นไปโดยใช้เทคโนโลยีจากสนามแข่งเข้าช่วย กับรูปทรงที่สวยและดุดัน เครื่องยนต์แรงและต่อเนื่องขึ้น ด้วยระบบ MIVECและเทอร์โบแบบพิเศษ ระบบช่วงล่างเซ็ตมาอย่างดี แถมมี SUPER AYC + ACD เข้าช่วย ทำให้ทุกอย่างทำงานสัมพันธ์กันอย่างดี มันเป็นรถที่เกิดมาเพื่อแรงแบบครบเครื่อง ขับมันส์ ปลอดภัย สนุกสนาน นั่งสบาย และใช้งานได้ทุกวันอีกต่างหาก ราคาก็ไม่แพงเกินไป จะหาอะไรที่คุ้มไปกว่านี้ได้อีกมั้ย...

ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ Multi Point ควบคุมการทำงานโดยกล่อง ECU ที่ได้รับการเซ็ตให้จัดสรรปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง และจุดระเบิดอย่างเหมาะสมในทุกรอบการทำงานของเครื่องยนต์ เพื่อการเผาไหม้ที่สมบูรณ์สูงสุด ไอเสียที่ปล่อยออกมาจึงผ่านมาตรฐานควบคุมมลพิษที่เข้มงวดระดับ "LEV1-LEV" ของอเมริกาได้แบบไม่ยากนัก นอกจากนี้ยังลดเสียงที่ออกมาทางปลายท่อด้วย "หม้อพักไอเสียแบบดูดซับเสียง 2 ระบบ" ช่วยลดเสียงที่รอบความเร็วต่ำ และยังสามารถระบายไอเสียได้ดีขึ้นที่รอบความเร็วสูงๆ อีกด้วย โดย EVO สเป็กอเมริกานั้นจะมีกำลัง 271 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดได้ออกมา 37.30 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที ระบบส่งกำลัง EVOLUTION ใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ที่โดดเด่นเรื่องความทนทาน และการถ่ายทอดแรงบิดลงพื้นถนนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กลไกในระบบเกียร์ได้รับการปรับปรุงให้เข้าเกียร์ได้ง่ายขึ้น จากผลงานของระบบ Triple Syncros ในเกียร์ 1 และเกียร์ 2 และ Double Syncros ในเกียร์ 3 กลไกของเกียร์เป็นแบบ Short Throw พร้อมหัวเกียร์หุ้มหนัง ช่วยให้การเข้าเกียร์กระชับ รวดเร็ว และให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับรถแข่งแรงม้าและแรงบิดจากเครื่องยนต์ จะส่งมาที่ชุด Differential พร้อมLimited Slip ซึ่งรับหน้าที่ในการกระจายแรงบิดไปยังล้อซ้ายและขวา ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน เพื่อลดการหมุนฟรี นอกจากนี้ยังมี Center Differential มาคอยรับหน้าที่กระจายแรงบิดไปสู่ล้อหน้าและล้อหลังอย่างสมดุลที่อัตราส่วน 50 : 50 สามารถแปรผันได้ตามสภาวะการขับขี่ โดยระบบกลไกของอุปกรณ์ต่างๆ ดังกล่าว จะใช้ Regular Hypoid Gear Oil ในการหล่อลื่นทั้งหมด ซึ่งได้รับการรับรองแล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดแรงเสียดทานได้อย่างดีเยี่ยม ระบบกันสะเทือน 
    
ได้รับการออกแบบมาสำหรับใช้ในการแข่งขันโดยเฉพาะ มีความแข็งแรงทนทานสูง ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ด้านหน้าใช้แม็คเฟอร์สันสตรัท ทำงานร่วมกับปีกนกอะลูมิเนียม สปริงหน้าถูกปรับแต่งให้มีค่า K ที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการตอบสนองอย่างเที่ยงตรงในทุกย่านความเร็ว ขณะที่ชุดหลังใช้ Double Wishbone หรือปีกนกคู่เพื่อประสิทธิภาพการควบคุมที่เหนือกว่าในทุกสภาพถนน หน้าที่ในการหยุดความพยศของฝูงม้า ยังเป็นของ Brembo เลือกใช้ดิสก์พร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ เสริมด้วยระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบ ABS จานเบรกหน้าขนาดเกินตัวที่ 355 มม. พร้อมคาลิเปอร์อะลูมิเนียม แบบ 4 pot ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสก์เบรกขนาด 304 มม. กับคาลิเปอร์แบบ 2 pot สำหรับระบบ ABS ของ EVOLUTION นั้น จะเพิ่มการประมวลผลตามองศาของล้อหน้าด้วย แม้เบรกขณะเลี้ยว ก็ยังสามารถควบคุมรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเช่นเดิมภายในยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ EVO ด้วยเบาะ Bucket Seat ของ Recaro ตกแต่งเน้นโทนสีดำสลับโทนสีเข้มเป็นหลัก สังเกตที่แผงหน้าปัดจะเห็นว่า โหมดเลือกการทำงานของระบบ ACD (Active Center Differential) นั้นหายไป เนื่องจาก EVO VIII สเป็กอเมริกันนั้นเป็น Versionที่เน้นสมรรถนะและฟิลลิ่งในการขับขี่ที่เหมือนรถแข่ง จึงไม่นำเอาระบบกระจายกำลังแบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มาเป็นตัวช่วย รวมถึงเฟืองท้ายแบบ AYC (Active Yaw Control System) จึงไม่มีให้เห็นใน EVO ตัวนี้เหมือนกัน Mitsubishi ได้ทำการอัพเกรด Lancer Evolution หรือ Lancer EVO สำหรับปี 2011 ด้วยการเพิ่มอ็อปชั่นต่างๆและปรับแต่งสมรรถนะในบางส่วน เริ่มจากการติดตั้งระบบ Hands-Free Link จาก FUSE ที่รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth, iPod และ USB โดยสามารถสั่งการทางเสียงได้ และทุกรุ่นย่อยจะมาพร้อมกับระบบนำทางที่มีฮาร์ดดิสก์ขนาด 40GB โดยมีฟังค์ชั่นแสดงข้อมูลการจราจรแบบ Real Timeในด้านสมรรถนะ มีการปรับแต่งระบบไอเสียให้เสียงกังวานและแสดงถึงความเป็นรถสปอร์ตแบบเต็มขั้น อย่างไรก็ตามกำลังของรถยังคงเดิม ไม่มีการเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สำหรับ Lancer Evolution GSR ทุกรุ่นจะมีการติดตั้งสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ในขณะที่เวอร์ชั่น MR จะมีลิปสปอยเลอร์หลังชุดใหม่ นอกจากนั้น Mitsubishi ยังมีชุดแอโรพาร์ทสำหรับแต่งบอดี้ให้เลือกสำหรับผู้ที่คิดว่าชุดแต่งโฉมที่มาพร้อมกับรถยังสนองความต้องการไม่เพียงพอMitsubishi Lancer Evolution รุ่นปี 2011 จะมีจำหน่ายในอเมริกาใน 2 เวอร์ชั่นคือ GSR และ MR โดยใช้ระบบส่งกำลังแบบ Twin Clutch Sportronic-Shift (TC-SST) 6 จังหวะทั้งสองเวอร์ชั่นอีโวลูชันรุ่นแรก ใช้ตัวถังของแลนเซอร์รุ่นที่ 6 หรือโฉม E-CAR ได้เข้าร่วมการแข่งขัน World Rally Championship ขุมพลัง 4G63 DOHC 16 วาล์ว มีเทอร์โบชาร์จและอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 247 แรงม้า ที่6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 31.6 กิโลกรัม-เมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที ใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ส่งกำลังลงสู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คู่หน้าแบบมีรูระบายความร้อนด้านมิติ ความยาวตัวถัง 4310 มิลลิเมตร กว้าง 1695 มิลลิเมตร สูง 1395 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2500 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ 1170-1240 กิโลกรัมอีโวลูชันรุ่นที่สอง มีการปรับปรุงระบบเครื่องยนต์โดยเพิ่มแรงดัน BoosterTurbo ทำให้มีกำลังเพิ่มจาก 247 เป็น 256 แรงม้า ที่ 6000 รอบต่อนาที (เครื่องยนต์ 2000 ซีซีเท่ากัน) ทอร์ค 31.6 กิโลกรัม-เมตร ที่ 3000 รอบต่อนาที ใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีดส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มีการปรับปรุงระบบการควบคุมรถ เพิ่มระยะฐานล้อจาก 2500 เป็น 2510 มิลลิเมตร และเพิ่มขนาดสปอยเลอร์ เพิ่มความสูงจาก 1395 เป็น 1420 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ 1180-1250 กิโลกรัมจากการที่ Mitsubishi Lancer EX ได้เริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย และได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรูปทรงของ Evolution 10 หรือ EVO X ทาง AutoSpinn จึงขอนำเอารายละเอียดพร้อมภาพของ Mitsubishi Lancer EVO X ปี 2010 ที่จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกามาให้ชมพร้อมภาพสวยๆอีกกว่า 40 ภาพ หลังจากที่ได้นำเวอร์ชั่นประเทศญี่ปุ่นมาให้ชมแล้วในวันก่อน และต้องขอบอกว่า รูปลักษณ์ของ EVO X แต่ละเวอร์ชั่นแทบจะไม่ต่างกันเลย อาจจะเป็นเพราะความลงตัวในเรื่องโฉม จึงทำให้แต่ละเวอร์ชั่นมีรูปลักษณ์ที่เหมือนกันมาก แม้กระทั่งรถต่างรุ่นอย่าง Lancer EX ก็ยังมีรูปลักษณ์ไม่หนีไปจาก EVO XMitshubishi เริ่มเปิดตัว Evolution เจนเนอเรชั่นที่ 10 ในปี 2007 โดย All-New Lancer EVO X ในขณะนั้นถูกกำหนดให้เป็นรถยนต์รุ่นปี 2008 และตั้งแต่นั้นมา Mitsubishi ก็ได้ทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้ในฐานะรถซีดานเล็กสมรรถนะสูง 4 ที่นั่ง และก็ได้ใจคนทั่วโลกอย่างที่ทราบกันสำหรับ EVO X เวอร์ชั่นอเมริกันมี 2 รุ่นย่อยให้เลือก โดยมีรุ่น GSR เป็นรุ่นพื้นฐานหรือ entry level ที่มาพร้อมระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เบาะนั่งสไตล์รถแข่งของ Recaro ล้ออัลลอยของ Enkei โดยมี option เป็นสปอยเลอร์ ไฟหน้า HID และเครื่องเสียงที่ได้รับการอัพเกรดใหม่อีกรุ่นของ EVO X ก็คือ MR ที่ได้รับการอัพเกรดใหม่ในส่วนของระบบส่งกำลัง Twin Clutch Sportronic Shift Transmission (TC-SST) ชุดสปริงของ Eiback และโช้คอัพหรือตัวดูดซับแรงกระแทกของ Bilstein โรเตอร์เบรคน้ำหนักเบา และล้ออัลลอยของ BBS นอกจากนั้นยัง option เป็นระบบนำทาง เครืองเสียงพร้อมระบบรับสัญญาณดาวเทียม Sirius และเบาะที่นั่งหุ้มหนังทั้งสองรุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์ MIVEC4 DOHC เทอร์โบ 4 สูบ 2.0 ลิตร ใหม่ อลูมิเนียมยกชุด ให้กำลัง 295 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 ปอนด์ฟุต และระบบขับเคลื่อนแบบ Super All-Wheel-Control (S-AWC) ซึ่งระบบ S-AWC จะเป็นตัวควบคุมแรงบิดและการเบรคที่ล้อแต่ละข้างรวมถึงระบบ ASC (Active Stability Control), ACD (Active Center Differential), AYC (Active Yaw Control) และระบบเบรค ABSความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของรถรุ่นปี 2010 และรุ่นปัจจุบันก็คือ จำนวน Yaw Sensor ที่มีมากขึ้นมาก โดยเป็นอุปกรณ์ที่วัดความเร็วเชิงมุมรอบเพลาตั้งของรถ ซึ่งจะช่วยทำให้รถแรงอย่าง EVO X อยู่ในช่องทางวิ่งที่ต้องการ ซึ่งระบบ S-AWC สามารถตั้งค่าให้รองรับสภาพพื้นถนนได้ 3 แบบ คือ พื้นยางมะตอยเหมือนถนนทั่วไป พื้นน้ำแข็ง และพื้นขรุขระที่มีหินกรวดระบบส่งกำลัง SST คลัทช์คู่ที่ใช้กับรุ่น MR จะคล้ายกับระบบ DSG ของ Audi/Volkswagen คือ เกียร์คู่และคี่จะทำงานอยู่บนคลัทช์คนละตัวกันเพื่อการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วโดยไม่มีการสูญเสียแรงบิดระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ โดยการเปลี่ยนเกียร์ของระบบ TC-SST หรือ SST คลัทช์คู่นี้ จะถูกควบคุมโดย paddle บนพวงมาลัยหรือคันเปลี่ยนเกียร์ในโหมด Manual หรือโดยคอมพิวเตอร์ของเครื่องยนต์ในโหมดอัตโนมัติ โดยระบบจะมีการทำงานใน 3 แบบการทำงาน คือ Normal, Sport และ S-Sport ซึ่งแบบลังสุดจะให้การเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วและแรงในเมื่อรถแรงแล้ว ระบบความปลอดภัยก็ต้องดีด้วย ซึ่ง EVO X ใหม่จะมีระบบตัวถังเดียวแบบ RISE (Reinforced Impact Safety Evolution) เพื่อกระจายแรงกระแทกไปทั้งด้านหน้าและด้านข้าง และป้องกันระบบเชื้อเพลิงหากมีการชนจากด้านหลัง โดยจะมีถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างรวมถึงถุงลมนิรัภัยที่ช่วงเข่าของผู้ขับขี่ด้วยด้วยความบังเอิญที่ Mitsubishi Lancer EX เพิ่งเริ่มทำตลาดในประเทศไทย และงาน SEMA Show (ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้า aftermarket ชุดแต่งและการปรับแต่งเครื่องยนต์แบบ extreme หรือสุดขั้ว ซึ่งจัดขึ้นทุกปีที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา) จะเริ่มขึ้นในวันที่ 3-6 พฤศจิกายนนี้ ซึ่ง Lancer EVO X รถต้นแบบของ EX ก็เป็นดาวเด่นของงานในฐานะรถพื้นฐานที่คนนิยมนำมาแต่งกันมากที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน AutoSpinn เลยขอนำเอาภาพรถแต่ง Lancer EVO ซึ่งมีทั้ง EVO X และ EVO เจนเนอเรชั่นก่อนหน้านี้ในงาน SEMA Show เมื่อปีที่แล้วมาให้ชมเพื่อเป็นไอเดียสำหรับคนจะซื้อ EX มาใช้ จะได้มองลู่ทางออกว่าจะแต่งหรือไม่แต่งแบบไหนดี ซึ่งแน่นอนว่าจากนี้ไป ถ้ามีข่าวคราวของ EVO X โดยเฉพาะภาพและข่าวรถแต่ง เราก็จะไม่พลาดที่จะนำมาให้ชมอย่างแน่นอนเพราะกระแสแรงเกินกว่าที่มองข้ามไปได้ สายพันธุ์ Evolution รถยนต์ขับ 4 ที่มีตำนานความร้อนแรงของเครื่องยนต์ และสมรรถนะการยึดเกาะถนนเป็นเลิศ บัดนี้เดินทางมาถึงเจเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว แต่ในบ้านเราคงต้องรออีกสักพัก เพราะเรื่องราคาของแต่งที่จะต้องยักย้ายถ่ายเทพันธุกรรมให้ครบสูตรสมบูรณ์ แบบนั้นแรงเอาเรื่องอยู่ ที่เห็นในบ้านเราก็จะมี EVO 9 ที่มีสาวกมิตซูฯ จับมาแต่งองค์ทรงเครื่องจากรถซีดานธรรมดาๆ ให้กลายร่างมาเป็นตัวโหดเหมือนกับเจ้า EVO 9 ลำเหลืองคันนี้ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า เวอร์ชั่น EVO 9 มีจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นคือ MR ต่อมาเป็น GSR ก็คือตัวที่ทำขายทั่วไป รุ่นที่สามเป็น GT เหมือนกับ GSR แต่ใช้เกียร์ธรรมดา 5 สปีด และ RS ผลิตสำหรับเป็นรถแข่ง ไม่มีอุปกรณ์สวยงามหรืออำนวยความสะดวกแต่อย่างใด ภายนอกของ EVO 9 เมื่อดูเผินๆ เหมือนกันทุกอย่างกับ EVO 8 แต่มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยไม่ถึงกับทิ้งขาดเจ้า EVO 9 คันนี้เป็นการกระโดดจากเวอร์ชั่น 8 แต่ถูกเก็บรายละเอียดได้เนียนมากๆ เพราะเจ้าของ (พี่หนุ่ม) เขาเน้นของแท้ตรงตามสเปกทุกชิ้น โดยเริ่มกันที่ชุดบอดี้พาร์ทรอบคัน EVO 9 กันชนหน้ามีช่องรับลมขนาดใหญ่และกว้างกว่าตัว 8 กันชนด้านหลังตรงชายล่างจะปาดมุมใส่ครีบระบายลม ทำเป็น Diffuser เพื่อจัดและรีดลมออกไม่ให้วนอยู่ด้านท้าย ถ้าเกิดมีลมวนจะทำให้เกิดการ ดึงให้รถวิ่งช้าลง และทำให้ท้ายลอยได้อีก ที่สำคัญ สวยดุ อีกต่างหาก สปอยเลอร์หลังเป็นคาร์บอนไฟเบอร์เหมือนกับตัว 8 MR ส่วนที่พิเศษอีกจุดสำหรับ 9 MR นั่นก็คือ บนหลังคาจะมีครีบจัดลม หรือ “Blowtech Generator” ที่เขาว่าช่วยรีดลมจากหลังคาให้ออกไปด้านหลังได้เร็วขึ้น ลมไหลได้สะดวกขึ้นก็ช่วยลดการต้านลมได้เหมือนกัน คงงงๆ ว่าเวอร์ชั่น 8 กับ 9 ดูตรงไหน ง่ายนิดเดียวครับดูที่หน้ากระจังตัว 8 จะมีสันจมูก (ตรงที่ติดโลโก้) ส่วน 9 จะไม่มีจมูกตรงนี้ครับภายในก็จะคงสไตล์ความดุดันไว้อย่างครบๆ ด้วยสีโทนเทา-ดำ ชุดมาตรวัดเป็นแบบทรงกลม พื้นดำ แต่พอเปิดไฟจะเป็นสีแดงสวยเร้าใจ แผงหน้าปัดตกแต่งด้วยลวดลายคาร์บอน แต่เบาะนั่งแบบ Bucket Seat ของ RECARO ในรถคันนี้ยังเป็นเวอร์ชั่น 8 อยู่ ถ้าเป็นตัว 9 จะเป็นแบบกำมะหยี่ สลับกับหนัง ALCANTARA อุปกรณ์ที่ใส่เพิ่มเข้าไปก็มี Timer HKS เครื่องเสียง ALPINE Touch Screen และ TEIN EDFC ตัวควบคุมการปรับระดับโช้กหน้าและหลังด้านขุมพลังของ EVO ทุกรุ่นคงจะเป็นรหัสอื่นไปไม่ได้นอกจาก 4G 63 ซึ่งเป็นอาวุธเด็ดคู่บารมีมาตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกเริ่มที่ขึ้นชื่อในด้านความ แรง อัตราเร่งอันยอดเยี่ยม มิหนำซ้ำยังขุนขึ้นอีกต่างหาก แรงม้าที่มีให้ใช้ 280 ตัว แต่เจ้าของไม่พอใจยัดท่อไอเสีย HKS High Power, Blow off Valve SQV ของ HKS, Clutch EXEDY Twin พร้อมทำการปลดพันธนาการ ECU ที่คุมความเร็วให้ขับเพียง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงออกให้ขับได้จนมิดไมล์ และทำการจูนกล่องใหม่เพื่อให้ได้ซึ่งอัตราเร่งที่ดีขึ้นหนุ่มๆ ที่ชอบความแรงแบบตะกาย 4 เห็นเจ้า EVO 9 คันนี้แล้วคงน้ำลายหกกันเป็นแถวๆ เพราะความสวยที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดของรถยนต์สายพันธุ์ Evolution มันช่างยั่วกิเลสให้อยากมีไว้ในครอบครองสักคัน ก่อนจะจบพี่หนุ่ม เจ้าของรถยังฝากบอกกับเรามาว่า การเล่นรถยนต์ตระกูลนี้ไม่ใช่จับอะไรมายัดเข้าไป แล้วเป็น EVO มันต้องหมั่นเพียรหาของแต่ง และทำให้มันสมบูรณ์แบบเป็น EVO แท้ทั้งคัน การเลือกของแต่งทุกอย่างต้องค่อยๆ ทำ เพราะทุกอย่างที่ได้มาต้องเป็นเนื้อคู่เท่านั้นครับเพราะ มีของไม่มีตังค์หรือมีตังค์ไม่มีของนั้นสำหรับคนรัก EVO สุดใจเท่านั้นจริงๆ ครับ

ข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากทำหรืออยากขับแบบ นี้
01. ต้องทำความเข้าใจกับ MITSUBISHI ว่าเขาก็เป็นแบบนี้ (ราคาตก, อาการประจำ) ดูแลเป็นก็ง่ายไม่แพงอย่างที่คิด
02. หาช่างที่ไว้ใจได้มีความรู้จริง มีหลายท่าน (พวกอวดรู้ก็เพียบ) แก้ไขที่เดียวหายจะได้ไม่ท้อใจ
03. หาของแต่งตามกำลัง แต่แนะนำใช้ของแท้ดีกว่า 
04. สุดท้ายไม่มี ไม่ได้ขับ ต้องศรัทธากับคำว่า LANCER EVOLUTION
05. แนะนำเวลาหาของแต่ง+อะไหล่ Evolution 08 9888 4435 GOLF---REVLIMIT---

ราคาของแต่ง
ฝากระโปรงหน้า EVO 9 ราคา 25,000 บาท
กันชนหน้า EVO 9 ราคา 27,000 บาท
ไฟหน้า EVO 9 ราคา 30,000 บาท
สปอยเลอร์ EVO 9 ราคา 12,000 บาท
กันชนหลัง EVO 9 ราคา 24,000 บาท 
ไฟท้าย EVO 9 ราคา 15,000 บาท 
กระจกหน้า-หลัง EVO 9 ราคา 26,000 บาท
กระจกประตูหน้า-หลัง EVO 9 ราคา 10,000 บาท 
หลังคา Moon Roof ราคา 35,000 บาท
Canards EVO 9 ราคา 5,000 บาท

หลังจากที่เห็นหน้าค่าตากันมาสักพัก แล้วก็เปิดตัวไปในงาน Tokyo Auto Salon ที่ผ่านมา แต่ไม่มีรายละเอียดเป็นภาษาที่อ่านออกเลย ก็เลยไม่รู้ว่ามันมีอะไรปรับปรุงจาก Evo VIII บ้าง... เผอิญพึ่งไปเจอรายละเอียดที่อ่านออกครับ เลยเอามาเล่าให้ฟังว่ามันมีอะไรแตกต่างกับตัวก่อนหน้านี้บ้าง สำหรับใครที่รู้แล้วหรือว่าเบื่อก็ลองทนๆอ่านดูอีกทีก็ได้ครับ เผื่อจะรู้อะไรเพิ่มเติม ส่วนใครที่ยังไม่รู้ว่าไอ้เจ้า Evo IX มันมีอะไรปรับปรุงเพิ่มไปบ้างเราลองไปดูกันเลยเริ่มจาดภายนออกกันก่อน... คือหน้าตามันเหมือนกันกับ Evo VIII ยังกะแกะ จุดแตกต่างที่สำคัญอยู่ที่ทางด้านหลัง ซึ่งมีการใส่ diffuser เข้าไปตามสมัยนิยมเพื่อให้การทรงตัวในช่วงความเร็วสูงดีขึ้น ส่วนทางด้านหน้าถ้าไม่ใช่แฟนพันธ์แท้ Evo คงงงว่ามันต่างกับตัวเก่าตรงไหน จุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดและทาง Mitsubishi โฆษณาว่ามันเอามาจาก WRC ก็คือรูใส่ไฟตัดหมอกเล็กๆสองรูระหว่าง Intercooler นั่นแหละครับนอกนั้นแทบจะเหมือนกับเอา Evo VII ผสม Evo VIII แต่ทาง Mitsubishi ก็ยังโม้อีกแหละว่า เห็นเหมือนเดิมอย่างงี้จริงๆต่างนะคร้าบ... คือ air damp ที่อยู่ต่ำลงเนี่ย ทำให้เครื่องยนต์สามารถดูดอากาศเย็นๆได้มากขึ้น นอกจากนี้หากคุณอยู่ในญี่ปุ่นยังสามารถสั่ง option ที่ให้ขยายช่อง air damp ให้กว้างขึ้น แล้วก็เลือกหางหลังแบบ Gurney Flap เพื่อเพิ่มความเกาะ และ aerodynamic ที่ดีให้กับ Evo IX ของคุณจุดแตกต่างอีกประการหนึ่งก็คือล้อนี่แหละครับ ได้มีการเปลี่ยนหน้าตาล้อ mag ใหม่ แน่นอนว่าสัมปะทานยังเป็นเจ้าเดิมคือล้อยี่ห้อ เอ็นไก่ (Enkai) โดยทางเอ็นไก่โฆษณาว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแค่หน้าตานะ แต่ยังเบาขึ้นกว่าล้อเดิมของ Evo VIII ตั้ง 0.15 kg แหนะ โดยยังเป็นล้อขนาด 17x8JJ เหมือมเดิม ส่วนล้อของ BBS นั้นเป็น option ให้เสียตังค์เพิ่มเอาเองคร้าบมาทางด้านภายในกันบ้างแน่นอนว่าตามสไตล์ Evo dash board มันต้องหน้าตาเหมือนกันหมดทุกรุ่น ทรงเดียวกันนี่แหละใช้ไปสามสี่รุ่น โดยใน Evo IX console หน้าได้รับการตกแต่งไปด้วย Carbon Fiber เป็นหลัก รวมไปถึง console เกียร์ด้วย (ขอนิดนึงก็ยังเอาเนอะ) ระบบปรับอากาศก็ยังคงความเชยไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ปุ่มบิดโง่ๆที่ใช้มาตั้งแต่ Evo 7 แล้วนี่แหละ นอกจากนี้ก็มีแป้นคันเร่ง เบรก และ clutch ที่เป็น alloy เพิ่มความสปอร์ตเบาะนั่งโดยเจ้าเก่า Recaro อีกแล้ว หน้าตาเบาะกับทรงเบาะเหมือนกับของ Evo VII และ VIII แต่เปลี่ยนสีไปใช้สีดำ ขอบด้านนอกเป็นหนัง ตรงกลางเบาะเป็น Alcantara รวมไปถึงที่เท้าแขนด้วย... อ้อ... อีกจุดหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุงก็คือเรื่องวัสดุที่ใช้เก็บเสียงครับ ทาง Mitsubishi โฆษณาว่าได้ใช้วัสดุที่ใช้มีความสามารถในการเก็บเสียงดีขึ้น ทำให้ห้องโดยสารเงียบสนิทเหมือนกับขับ Lexus ไม่ใช่นึกว่าตูกำลังขับเรือหางยาวอยู่รึเปล่า (อันนี้ก็เว่อร์ไป)เครื่องยนต์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงมากที่สุด หลังจากที่ใช้เครื่องยนต์ที่ไม่มี technology อะไรดีกว่าชาวบ้านเค้ามานานหลายปี บริษัทอื่นเค้าขับจรวดไปดวงจันทร์กันจนเบื่อแล้ว แต่ทาง Mitsubishi ยังใช้บั้งไฟกันอยู่ อาศัยความอึด ความถึก ความทนเข้าว่า แต่ในที่สุด Mitsubishi ก็ตัดสินใจใส่ระบบ valve แปรผันที่ชื่อว่า MIVEC ลงไปในเครื่องยนต์รหัส 4G63T ของ Evolution ซะที เพื่อเรียกแรงม้าและแรงบิด รวมถึงเพื่อความประหยัดน้ำมันด้วย โดยทาง Mitsubishi โม้อีกแล้วว่าในรุ่น GSR ที่มีระบบ Mivec นี่สามาถประหยัดน้ำมันได้สูงถึง 10 กิโลลิตร หลังจากที่เอาไปขับในสนามทดสอบ (โอ้ว! ประหยัดกว่า Honda Civic เครื่อง 2000 อีก จะจริงจะโม้คงต้องรอดูกันต่อไป)นอกจากนี้ตัว Turbo ของ GSR ยังใช้ระบบ lengthened diffuser เพื่อสร้างแรงบิดในรอบต่ำและรอบกลางให้มากขึ้น ทำให้รถมีแรงบิดสูงถึง 400 Nm (40.8 kg-m) ที่รอบต่ำติดดินเพียง 3,000 rpm และทำให้การตอบสนองดีขึ้นกว่า Evo VIII 5% ตลอดรอบเครื่องยนต์ ส่วนในตัว RS นั้น compressor wheels ของ turbo จะทำจาก magnesium alloy แทนที่จะเป็น aluminum alloy ทำให้มี torque มากชึ้นเป็น 407 Nm (41.5 kg-m) ที่ 3,000 rpm ส่วนแรงม้าของทั้ง GSR และ RS ยังคงเท่าเดิมคือ 280 แรงม้า ตามมาตรฐานรถญี่ปุ่น ซึ่งจะมาให้ใช้ที่ 6,500 rpmส่วนอีกรุ่นที่เพิ่มเข้ามาใหม่ มีรหัสว่า GT ซึ่งเป็นการรวมความสะดวกสบายของ GSR เข้าไว้ด้วยกันกับ performance ของ RS โดยใช้ turbo และระบบส่งกำลังของตัว RS ซึ่งเป็นเกียร์แบบ 5 speed close ratio แต่ได้ปรับปรุงเกียร์ห้าให้สามารถใช้ความเร็วสูงๆได้มากขึ้น เพื่อใช้เดินทางไกลๆ ส่วนความสะดวกสบายภายในนั้นยกของ GSR มาใส่ระบบเบรกสำหรับรุ่น GT และ GSR ยังเป็นเจ้าเก่าเหมือนเดิม ซึ่งก็คือ Bermbo ที่ทางด้านหน้าเป็นขนาด 4 Pots ส่วนทางด้านหลังเป็นแบบ 2 Pots หยุดได้แน่นอนสบายหายห่วง ทำงานร่วมกับระบบ Sport ABS ที่จะคอยประมวลผลมุมของพวงมาลัย ที่ส่งผลต่อมุมล้อและแรง G ที่ส่งมาจาก Speed Sensor ที่ทำงานแยกอิสระกันในแต่ละล้อทั้งสี่ล้อเพื่อหาแรงเบรกที่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งยังทำงานร่วมกับระบบกระจายแรงเบรก EBD ที่จะกระจายแรงเบรกระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง โดยระบบจะเพิ่มแรงเบรกในล้อหลังให้มากขึ้นเมื่อกำลังจะไปจูบตูดรถคันหน้า และ EBD ยังสามารถลดแรงเบรกในล้อหน้าลงเพื่อลดปัญหาอาการเบรก fade ได้อีกด้วย (โอ้ว จอร์จมันยอดมาก)ส่วนของหลังคาใน Evo IX นั้นเป็น aluminum ทั้งแผ่นเหมือนกับที่อยู่ใน Evo VIII MR ส่งผลให้ RS มีน้ำหนัก 1,320 kg, GT 1,390 kg และสุดท้าย GSR 1,410 kgระบบช่วงล่าง ทางด้านหลังได้มีการเปลี่ยน spring ใหม่ ซึ่งทำให้รถเตี้ยลง และทาง Mitsubishi บอกว่า ทำให้ท้ายรถทรงตัวดีขึ้น โช้คอัพเป็นของ Bilstien (สำหรับรุ่น GT และ GSR) ที่ได้รับการ tuned มาใหม่ให้เหมาะกับรถมากขึ้น นอกจากนี้ในรุ่น GSR ยังได้มีการปรับปรุงระบบ Super AYC ให้มีประสิทธิภาพในโค้งดีขึ้น เพิ่มความหนึบหนับ และลดอาการ understeer ลงเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง (อันนี้ไม่รู้จริงหรือเปล่า) Option ของ Evo IX นั้นมีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น moonroof, หางหลัง carbon-fiber, ไฟหน้า Projector Blue Xenon, กุญแจ remote พร้อม Immobilizer และอื่นอีกมากมายสุดท้าย Evo IX นั้นมีให้เลือกทั้งหมด 6 สีคือ เทาเงิน, สีดำ, สีน้ำเงิน (ดูคล้ายๆสีน้ำเงินของ R34 แรดดีชอบๆ), สีเหลือง, สีแดง, แล้วก็สีขาวเป็นสีสุดท้ายครับ... ราคาจำหน่ายของ Mitsubishi Evolution IX ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มต้นที่ 2.94 ล้าน (RS) ไปจนถึง 3.57 ล้าน (GSR)... ตอนนี้ได้ข่าวว่าบ้านเรามีอยู่หนึ่งคันแล้วนา กำลังทำทั้งคันอยู่ด้วย......เป็นของใครต้องไปสืบเอาเอง ใครบอกว่าคนไทยจน  แม้ว่า Mitsubishi Evolution จะประสพกับความล้มเหลวในการแข่งขัน WRC มากขนาดไหน บริษัท Mitsubishi ก็ยังขยันคลอด Lancer Evolution ออกมาได้ไม่ขาดสาย ซึ่งปัจจุบันก็ปาเข้าไปถึงรุ่นที่ 8 แล้ว (ส่วน Evolution MR ผมนับว่าเป็นรุ่นที่ 8.5 ละกัน) ถามว่าทำไม่ถึงยังขยันออกมาจัง ก็เพราะว่ามันยังขายได้นะสิ ไม่ว่าจะออกมากี่รุ่นก้เป็นที่นิยมเสมอ ซึ่งปัจจุบัน Mitsubishi เตรียมที่จะส่ง Evolution9 ลงมาแย่งส่วนแบ่งตลาดรถ High Performance Car ในต้นปีหน้าแล้วแม้ว่า Evolution 8 MR จะพึ่งออกมาเมื่อต้นปีก็เหอะ และแน่นอนว่า Evolution 9 จะเป็นรุ่นสุดท้ายของสายการผลิตใน body Cedia หรือรหัสตัวถัง CT9A เพราะว่าตอนนี้ Evolution X กำลังวิ่งเก็บข้อมูลเพื่อที่จะเตรียมผลิตในอีกไม่นานซึ่งผมต้องขอเรียนตามตรงว่าไม่มีข้อมูลอะไรของรถรุ่นนี้เลยทั้งสิ้น นอกจากภาพที่ทาง Mitsubishi นำมาให้สื่อดูเหมือนกับที่คุณๆท่านๆเห็น นอกนั้นได้แต่แบะๆ เนื่องจากทาง Mitsubishi Japan ก็ยังไม่มีข้อมูลยืนยันออกมาแถมบอกว่า นี่ไม่ใช่ Model สุดท้ายที่จะผลิตจริง อาจจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างอีกที แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่หน้าตาของ Evolution X จะไม่หนีไปจากนี้มากนัก เอาเถอะครับ ถึงจะไม่ใช่หน้าตาของ version ที่จะผลิตจริง แต่อย่างน้อยก็พอจะเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างได้บ้างโดยภายนอกสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือด้านหน้าที่เปลี่ยนไป จมูกได้รับการศัลยกรรมมาใหม่ ส่วนจะดูดีขึ้นหรือแย่ลงนี่นานาจิตตังครับ ไฟหน้าก็ออกแบบใหม่ ส่วนไอ้ที่ได้รับอิทธิพลมาเต็มๆจากความล้มเหลวในการแข่งขัน WRC เห็นจะเป็น spoiler หลังที่ถูกเลื่อนขึ้นมาใกล้ Pillar C มากขึ้น พร้อมกับล้อ Mag ลายประหลาดๆเครื่องยนต์ยังคงอนุรักษ์แบบเดิมคือ 4 สูบ turbo ขนาด 2,000 cc. ซึ่งได้รับการปรับปรุงทำให้มีแรงม้าและแรงบิดมากขึ้น โดยจากการนั่งเทียนของนักข่าวต่างชาติคาดว่า Evolution X จะมีแรงม้ามากกว่า 240 kW และแรงบิดมากกว่า 431 Nm นอกจากนี้ Limited Slip Differential ยังได้รับการปรังปรุงใหม่ รวมไปถึง platform และ chassis ใหม่ น่าจะทำให้ Evolution X ยังคงรักษาความเป็นรถ High Performance Sedan ต่อไป ส่วนจะประสพความสำเร็จใน WRC รึเปล่าแฟน Mitsubishi คงต้องไปรอลุ้นกันอีกทีโดย Evolution X ยังไม่มีกำหนดที่จะเปิดตัวในต้นปีหน้า และทำให้แฟนๆ Evolution คงต้องชะเง้อคอรอกันต่อไป เพราะปัจจุบัน Mitsubishi พึ่งเตรียมที่จะส่ง Evolution IX ออกสู่ตลาดในต้นปีหน้านี่เอง